CC (Creative Commons) คือ
อะไร ?
CC หรือ Creative commons นั้นคือชุดสัญญาอนุญาตแบบเปิดกว้าง
นั่นหมายถึงว่าสัญญาอนุญาตฉบับนี้จะยอมให้ทุกคนสามารถที่จะใช้ได้ในทันที
เพื่อเป็นการสะดวกต่อการเผยแพร่ผลงานของเจ้าของ
โดยที่เจ้าของผลงานนั้นสามารถสงวนสิทธิ์บางอย่างไว้ได้ บางท่าน อาจจะเคยเห็น GPL ของ software ที่สามารถนำ แจกจ่ายได้ตามที่ต้องการโดยใน
CC นี้ก็จะมีเนื้อหาโดยรวม ที่คล้าย ๆ กับ GPL ในปัจจุบัน CC นั้นได้เดินทางมาถึง Version ที่ 3.0 แล้วโดยใน Version 3.5 อาจจะรวมถึงการใช้ร่วมกันกับ
GPL ด้วยก็เป็นได้
ทำไมต้อง CC(Creative Commons) ?
ทำไมต้องใช้ CC หลายคนอาจจะบอกว่า ใช้กฎหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาก็น่าจะพอแล้ว
?
จริง ๆ
แล้วการใช้กฎหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาก็ครอบคลุมในทุกกรณี อยู่แล้ว
แต่ว่าขั้นตอนในการดำเนินการให้ถูกกฎหมายจริง ๆ นั้นต้องใช้เงินในการดำเนินการ
และเสียเวลามาก ยกตัวอย่างเช่น
หากนาย A เขียนบทความหรืองานวิจัย ขึ้นมาหนึ่งชิ้น ซึ่งนาย A
ต้องการเผยแพร่สู่สาธารณะให้ได้มากที่สุดอยู่แล้วโดยไม่หวังผลกำไรใด
ๆ แต่ว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ระบุว่า “สิทธิ์ในการหาประโยชน์จากชิ้นงาน
จะตกเป็นของผู้สร้างโดยทันทีที่เผยแพร่ผลงานนั้นออกไปยังคนอื่น
ความเป็นเจ้าของสิทธิ์นี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ (ในทางกฎหมาย)” นั่นหมายความถึงแม้ว่านาย A ต้องการจะแจกจ่ายอยู่แล้วโดยไม่ได้หวังผลกำไรใด ๆ ก็ตาม หากนาย B เห็นผลงานของ นาย A และอยากเอาไปใช้เผยแพร่ต่อ
ก็ต้องขออนุญาตนาย A ก่อน โดยการทำหนังสือถึงนาย A เพื่อขออนุญาตเผยแพร่ อย่างถูกต้อง แล้วลองจินตนาการดูสิครับว่า
หากว่ามีผู้ที่สนใจจำนวนมาก มันจะต้องเสียเวลาขนาดไหน ทั้ง ๆ ที นาย A ก็ไม่ได้ต้องการอะไรอยู่แล้ว เมื่อทำหนังสือมานาย A ก็แค่บอกว่าอนุญาต
แล้วส่งกลับ (นอกจาก นาย A จะไม่ได้เงินแล้วยังต้องเสียเงินอีกนะเนี่ย)
แถมยังต้องเสียเวลาดำเนินการมากมาย
ทางออกของเรื่องนี้มีอยู่หลายทางครับโดยที่ทำให้ไม่เสียเงินไม่เสียเวลา
1. ทางแรกคือ
นำไปใช้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต (ก็เค้าไม่ได้หวังผลกำไร อยู่แล้ว นิหน่า)
-
การทำแบบนี้ถึงแม้ว่าเจ้าของไม่ได้มีเจตนาที่จะแสวงหาผลกำไรอยู่แล้ว
แต่ก็ยังผิดกฎหมายอยู่ดีครับเพราะว่าในกรณีนี้
การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้บอกให้เจ้าของผลงานทราบถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
เพราะฉะนั้นวิธีนี้ ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา แต่ผิดกฎหมายครับ
2. ทางที่สอง
นำไปใช้ได้เลยหากเข้าข่ายการใช้แบบ Fair Use
-
การใช้ แบบ Fair use นั้นคือ การใช้งานโดยชอบธรรมประกอบด้วย
การใช้โลโก้หรือสัญลักษณ์ทางการค้า หรือการนำภาพส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพยนตร์
หรือปกหนังสือไปใช้งานในความละเอียดต่ำหรือมีขนาดเล็กโดยไม่ทำให้ก่อให้เกิดความเสียหายของสินค้า
หรือทำให้สินค้านั้นขาดรายได้ (ลำบากนะจะใช้ฟรี
ๆ ทีนึงเนี่ย)
3.
เจ้าของประกาศให้งานตนเองเป็นสมบัติสาธารณะ(Public Domain)
-
การประกาศแบบนี้จะส่งผลให้งานชิ้นนั้นตกเป็นสมบัติสาธารณะทันที มีผลทำให้ใคร ๆ
ก็สามารถนำงานชิ้นนั้นไปใช้แก้ไข ดัดแปลง จำหน่าย จ่ายแจกได้เต็มที่
4. เจ้าของประกาศเงื่อนไขการใช้งานเพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษ
(ถือเป็น “สัญญา”) เช่น บอกว่าเอาไปใช้ได้นะถ้าคุณส่งโปสการ์ดกลับมาให้ผมดูเล่นสักใบ (Linux ช่วงแรกๆ เคยเป็นแบบนี้) หรือที่คุ้นๆ
กันหน่อยก็ เอาไปใช้ได้นะถ้าไม่นำไปใช้เพื่อการค้า
โดยในข้อ 4
นี้เองที่เป็นที่มา ของ CC
ปัญหาของข้อ (4)
ก็คือต่างคนต่างประกาศกันมั่วไปหมด คนนำไปใช้ต่อก็เลยสับสน
(แถมยังมีประเด็นว่าเจ้าของงานจำนวนมาก ไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ได้) โครงการ Creative Commons เลยแก้ปัญหาดังนี้
- จัดชุดของเงื่อนไขที่เจอบ่อยๆ
(เช่น ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า, ห้ามดัดแปลงต่อ)
เข้าไว้ด้วยกัน
-
สร้างแบรนด์ให้มันหน่อย โดยทำเป็นโลโก้ CC เพื่อที่ผู้ที่เห็นจะได้รู้ว่า ทำอะไรได้บ้าง อย่างเช่นผู้ที่เห็น C
ก็จะรู้ทันทีว่า สินค้าชิ้นนี้ หรือ งานนี้ มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง
อยู่
- สร้างความคุ้มครองทางกฎหมาย
โดยเขียนสัญญาที่มีผลบังคับใช้จริงๆ ในทางกฎหมาย (ที่คนธรรมดาอ่านไม่รู้เรื่อง)
ขึ้นมา เวลามีคนมาฟ้องว่าสัญญาแบบ CC นี้เป็นสัญญาเก๊
ฝ่ายคนประกาศ CC จะได้สู้คดีแล้วชนะ
(มีคนชนะมาแล้วในต่างประเทศ)
ชุดสัญญาเงื่อนไขและ
โลโก้
CC จะสามารถแบ่งชุดเงื่อนไขในการอนุญาตออกเป็นคร่าว ๆ ได้ 4 แบบดังนี้
1. Attribution (ตัวย่อ by) คนนำไปใช้ต้องอ้างอิงด้วยว่าเอามาจากไหน
2. Non-Commercial (ตัวย่อ nc) ห้ามนำไปใช้เพื่อแสวงหาผลกำไร
3. No Derivative (ตัวย่อ nd) ห้ามเปลี่ยนแปลงงานของผู้เผยแพร่
4. Share Alike (ตัวย่อ sa) คนที่นำผลงานของเราไปใช้
งานที่ออกมาต้องเป็น Creative Commons เหมือนกันด้วย
(แถมยังต้องเป็น CC แบบเดียวกัน
หรือแบบที่เข้ากันได้) จุดหมายก็คือต้องการเผยแพร่ให้เกิดงานที่เป็น CC เยอะๆ
เงื่อนไขทั้ง 4 แบบนี้เจ้าของผลงานสามารถที่จะเลือกผสานเงื่อนไขใดก็ได้มาใช้กับงาน
แต่เงื่อนไข Attribution (by) เป็นที่รู้กันว่าในสัญญา CC
จำเป็นจะต้องใส่ด้วยทุกงาน ตัวอย่าง เช่น
นาย A เขียนบทความงานวิจัยขึ้นมา แล้วใช้ สัญญาแบบ cc-by-nc-sa
เมื่อนาย B ต้องการที่จะนำผลงานของนาย A
ไปใช้ นาย B สามารถนำไปใช้ได้ทันที
โดยการเผยแพร่ ต่อนาย B จะต้องระบุ ว่านำมาจากนาย A ตามสัญญา by และจะต้องห้ามใช้ในเชิงพาณิชย์ ตามสัญญา
nc นอกจากนั้น เมื่อ นาย B นำไปเผยแพร่จะต้องเผยแพร่
โดยใช้สัญญาเหมือนกันกับนาย A ทุกประการ ตามสัญญา sa
โดยสรุป
- สัญญาอนุญาต CC ไม่ได้เป็นการให้สิทธิ์ในงานของเราเป็นงานสาธารณะ
ผู้ที่เป็นเจ้าของยังมีสิทธิ์ทุกประการในงานนั้น แต่ CC เป็นเพียงการบอกว่า
สามารถนำงานไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องขอก่อน
- เจ้าของสามารถที่จะเปลี่ยนสิทธิ์ชิ้นงานได้เสมอ
แต่หากงานที่ถูกนำไปใช้เผยแพร่ออกไปแล้วจะใช้สัญญาเงื่อนไขเดิมต่อไป
-
งานคนละชิ้นกันสามารถใช้สัญญาอนุญาตคนละแบบได้
- เจ้าของยังสามารถขายหรือหาผลประโยชน์จากงานสร้างสรรค์ของตัวเอง
ผ่านช่องทางการเจรจาใต้กรอบลิขสิทธิ์ได้เช่นเดิม
สามารถอ่านสัญญา Creative Commons ฉบับเต็ม ของประเทศไทยได้ ที่นี่
สามารถอ่านสัญญา Creative Commons ฉบับเต็ม ของประเทศไทยได้ ที่นี่
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported License.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น